บ้าสุดๆไปเลย" เอแบคโพลเผยคะแนนนิยม "มาร์ค" นำลิ่ว
หลังจากที่รัฐบาลไทยได้ตอบโต้สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ด้วยการเรียกตัวเอกอัครราชทูตกลับประเทศทันทีนั้น ล่าสุดสมเด็จฮุน เซน ได้ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะมากัมพูชาในวันที่ 12 พ.ย.นี้ เพื่อพบปะและให้ข้อคิดเห็นด้านธุรกิจกับนักธุรกิจเขมร
อ้างไทยช่วยเขมรหลายเรื่อง
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. เวลา 09.00 น. ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์" ถึงกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชาว่า ตนกับนายกรัฐมนตรีฮุน เซน นั้น ได้มีโอกาสพบปะกันในหลายต่อหลายโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่จะถึงการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ผ่านมา การพบปะทุกครั้งได้มีการพูดถึงว่า เรามีปัญหาที่ยังเห็นไม่ตรงกันอยู่ ในเรื่องของปราสาทพระวิหาร แต่ว่าเราบอกกันชัดเจนว่า การกระทบกระทั่งหรือมีปัญหาในลักษณะนี้ ค่อนข้างจะเป็นเรื่องปกติของประเทศที่มีพรมแดนติดกัน และมักจะมีตัวอย่างอยู่ตลอดเวลาว่า การกระทบกระทั่งในบริเวณชายแดนนั้นเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดก็ตาม ที่สำคัญที่สุดคือเราพูดกันไว้ว่าปัญหาใดๆก็ตามไม่ควรจะถูกหยิบขึ้นมาและบดบังภาพรวมของความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศในเรื่องอื่นๆ ประเทศไทยได้ให้การช่วยเหลือสนับสนุนกัมพูชา ทั้งในเรื่องของการก่อสร้างถนนสำคัญๆ หลายสาย ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงในภูมิภาคนี้ และจะเพิ่มศักยภาพทำให้การรวมตัวของประชาคมอาเซียนเป็นไปด้วยดี เป็นไปด้วยความราบรื่น เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือมีเรื่องของการค้าชายแดน และมีความเป็นไปได้ในการที่จะมีการเริ่มต้นการเจรจาในเรื่องของผลประโยชน์ในทะเล ซึ่งได้พูดกันถึงเรื่องการมีพื้นที่ทับซ้อน ทราบกันดีว่ามีทรัพยากรธรรมชาติ คือก๊าซอยู่ในอ่าว ทั้งไทยและกัมพูชาก็ให้สัมปทานกันไป แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ จนกว่าจะมีการตกลงกันในเรื่องนี้
แฉ "ฮุน เซน" ยึดชาติมากกว่าทักษิณ
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีฮุน เซน พูดกับตนมาตลอดว่าควรจะมองไปที่อนาคต ไม่ควรยึดติดกับอดีต และพร้อมที่จะเดินหน้าให้ความสัมพันธ์ต่างๆ เป็นไปด้วยความราบรื่น และในการพูดคุยกัน ส่วนใหญ่แล้วนายกฯ ฮุน เซน เป็นฝ่ายหยิบยกกรณีของท่านอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยขึ้นมาพูดกับตน เพราะตนจะไม่เป็นฝ่ายที่เริ่มต้นพูดก่อน นายกฯฮุน เซน จะบอกตนเสมอว่า แม้ว่าอดีตนายกฯทักษิณเป็นเพื่อน แต่ว่าจะไม่ให้ความเป็นเพื่อนมาอยู่เหนือในเรื่องของความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ อันนี้เป็นสิ่งที่เป็นคำกล่าวของนายกฯฮุน เซนที่พูดกับตนมาโดยตลอด เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ตลอดระยะเวลา 10 เดือนโดยประมาณ จะเห็นว่ามีการกระทบกระทั่งกันในส่วนของปราสาทพระวิหารเมื่อประมาณเดือนเมษายน แต่สุดท้ายทุกอย่างก็กลับเข้าสู่เรื่องของกระบวนการการเจรจา กลับเข้าสู่เรื่องของแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี เพราะตนถือว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการดำเนินนโยบายการต่างประเทศคือการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีด้วยการแสดงออกถึงความจริงใจ และความเคารพซึ่งกันและกัน
ปัญหาเกิดหลัง "จิ๋ว" กลับจากเขมร
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นล่าสุดถ้าเราสังเกตจะเห็นว่า เพิ่งมาเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้าที่จะมีการจัดประชุมสุดยอดอาเซียน หลังจากที่มีการเดินทางไปพบปะกับท่านนายกฯฮุน เซน ของอดีตนายกรัฐมนตรีของเราท่านหนึ่ง (พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย) และพอกลับมาก็มีการออกข่าวในเรื่องที่บอกว่าทางกัมพูชานั้นจะตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณเป็นที่ปรึกษา แล้วจะไม่ดำเนินการในการที่จะส่งตัวมายังประเทศไทย ทั้งที่เรามีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน และต้องว่าไปตามกระบวนการ ขณะนี้เจ้าตัวยังไม่ได้เดินทาง เข้าไป เราจึงยังไม่ได้มีการขอตัว แต่ทางนายกฯฮุน เซน กลับมาพูดล่วงหน้าในช่วงที่มีการประชุมอาเซียน ขณะนั้นทำให้หลายฝ่ายจับตาว่า เกิดความตึงเครียดหรือไม่อย่างไร ตนยืนยันว่าตรงนั้นคือจุดเริ่มต้นของปัญหา เพราะว่าก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีความพยายามที่จะพูดว่า รัฐบาลของทั้งสองประเทศจะมีปัญหาความสัมพันธ์กันหรือไม่อย่างไร ตนยืนยันว่า ตลอดระยะเวลา 10 เดือน และทุกครั้งที่ได้มีการพบปะกันไม่ได้มีปัญหากัน
จวกเขมรออกแถลงลบหลู่ศาลไทย
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขณะเดียวกันรัฐบาลกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาฯและพาดพิงว่าหากจะมีการขอตัวผ่านสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้นทางกัมพูชาจะไม่ดำเนินการในเรื่องนี้ และที่สำคัญรัฐบาลกัมพูชายังได้ตั้งคำถามในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมของไทย ทั้งเรื่องของความเที่ยงธรรม ตนถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประเทศไทยและคนไทยคงยอมรับไม่ได้ ทั้งหมดในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องปัญหาความขัดแย้งการเมืองภายในประเทศของเรา แต่เป็นเรื่องที่เราทุกคนนั้นจะต้องยืนยันถึงความถูกต้องและศักดิ์ศรีของสถาบันหลักของเรา ก็คือกระบวนการยุติธรรม อย่างไร ก็ตาม เชื่อว่ากัมพูชาออกแถลงการณ์เช่นนี้ เพราะได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อน โดยเฉพาะคดีต่างๆที่เกิดขึ้นกับอดีตนายกฯทักษิณ แต่ว่าใครไปให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนหรืออย่างไรก็แล้วแต่ การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันที่เป็นกระบวน การยุติธรรม เป็นสถาบันหลักของเรา เราก็คงยอมรับไม่ได้ อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ตนได้เตือนนายกฯฮุน เซน ไปตั้งแต่ ช่วงของการมีการประชุมสุดยอดอาเซียนว่า ถ้าหากทางฝ่ายกัมพูชาไม่ทบทวนให้ดี มันจะกระทบกับความสัมพันธ์ ไม่มีประเทศไหนที่เขาจะยอมให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะเช่นนี้
สั่งดูข้อตกลงสมัยทักษิณ
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การแต่งตั้งอดีตนายกฯทักษิณเป็นที่ปรึกษา ย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยในการเจรจา ยกตัวอย่างง่ายๆข้อตกลง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้มีการเดินหน้าที่จะต้องทบทวนบางข้อตกลง กรณีของการที่จะมีการเจรจาในเรื่องของผลประโยชน์ ในทะเล เกิดขึ้นในสมัยของอดีตนายกฯทักษิณ เพราะฉะนั้น ตนเปรียบเทียบว่าถ้าเรามีการเจรจาอยู่กับใครก็ตาม ในเรื่องที่จะต้องมีการแบ่งผลประโยชน์กัน และขณะเดียวกันปรากฏว่าคนที่เคยเป็นหัวหน้าในการเจรจาเรื่องนี้ไว้ ล่วงรู้ ข้อมูลต่างๆ วันดีคืนดีกลับไปเป็นที่ปรึกษาของอีกฝ่าย ตนเห็นว่ากรอบการเจรจาตรงนี้เป็นใครก็ต้องทบทวน เพราะว่ามีผลประโยชน์ขัดกันอย่างชัดเจน และนั่นคือเหตุผลที่ตนได้เคยเตือนนายกฯฮุน เซน ว่าต้องคิดให้ดีว่าถ้าหากจะเอาเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือเรื่องอื่นใดก็ตามเข้ามา จะเป็นปัญหากับเรื่องของการดำเนินการความร่วมมือต่างๆ ที่เป็นความสัมพันธ์ของระหว่าง 2 ประเทศ ยิ่งไม่นับว่าอดีตนายกฯมีสถานะของการเป็นนักธุรกิจ และมีข่าวหรือมีการพูดกันมาโดยตลอดว่าอาจจะเข้าไปมีประโยชน์โดยตรงที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรในทะเลด้วย
ชู 3 แนวทางแก้ปัญหาไทยเขมร
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลจำเป็นต้องทำ ขั้นแรก คือเราดำเนินการตามขั้นตอนทางการทูต สิ่งที่เราสามารถที่จะแสดงออกและบ่งบอกถึงความไม่พอใจ และต้องการที่จะลดระดับความสัมพันธ์ หากว่าทัศนคติยังเป็นเช่นนี้ ก็ใช้วิธีการในการเชิญเอกอัครราชทูตกลับมา เพื่อมาทบทวนและรับมอบนโยบายใหม่ อันนี้ก็เป็นหลักที่มีการปฏิบัติกัน ขั้นที่สอง คือการพูดถึงข้อตกลงต่างๆที่จะไม่สามารถดำเนินการต่อได้ ในแง่ของการที่จะเดินหน้าในกรอบการเจรจา เพราะว่าจะทำให้เรามีความเสียเปรียบทันที นอกจากนี้ รัฐบาลได้วางแนวนโยบายที่สำคัญ 3 ประการ คือ 1. การดำเนินการใดๆจะต้องไม่เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างประชาชนทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณชายแดน 2. เราต้องดูแลคนของเราที่นั่น ที่ไปประกอบธุรกิจในกัมพูชา โดยให้ความสำคัญรักษาผลประโยชน์ของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ไม่ให้กระทบกระเทือน
วอนผีพนันหยุดเข้าบ่อนช่วยชาติ
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ตอนนี้อยากจะบอกว่าคนไทย ซึ่งเคยเดินทางเข้าไปเพียงเพื่อไปเล่นการพนัน อยากขอให้หยุด เพื่อที่จะมาช่วยกันส่งสัญญาณว่า ถ้าอยากจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไปดำเนินการตามปกติ ขอให้ทางรัฐบาลกัมพูชาปฏิบัติต่อเราอย่างที่ควรปฏิบัติในเรื่องของความจริงใจ และความเคารพซึ่งกันและกัน และ 3. เราจะไม่ให้ปัญหาตรงนี้ไปกระทบกระเทือนกับประเทศอื่นๆที่ร่วมงานกับเรา ยืนยันว่าทุกอย่างที่รัฐบาลดำเนินการนั้น เพื่อประโยชน์และศักดิ์ศรีของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ
ปลุกคนไทยลุกขึ้นทวงศักดิ์ศรี
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าวันนี้เป็นสิ่งที่ตนอยากจะเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยแสดงออกถึงความสมัครสมานสามัคคีและร่วมกันแสดงจุดยืนตรงนี้ว่าเราต้องการเป็นและมีเพื่อนบ้านที่ดี ซึ่งจะต้องอยู่บนพื้นฐานของการแสดงออกถึงความจริงใจ และความเคารพซึ่งกันและกัน เชื่อว่าพี่น้องคนไทยทุกคนคงไม่ต้องการที่จะเห็นประเทศ ไทยเสียเปรียบ ไม่ต้องการที่จะเห็นประเทศไทยถูกลดทอน ความน่าเชื่อถือโดยประเทศใดก็ตาม เพราะฉะนั้นดีที่สุด ในการที่จะทำสิ่งนี้คือ การสมัครสมานสามัคคี และร่วมกันอย่างมีเอกภาพ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของพรรคการเมือง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลฝ่ายค้าน เรื่องนี้ควรจะเป็นเรื่องของการที่เราช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยและประชาชนคนไทยในฐานะที่เราเป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่งด้วยกันทุกคน
ย้ำอีกรอบยุติเจรจากับเขมร
ต่อมาเวลา 10.15 น. ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการยกเลิกข้อตกลงพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ที่จะนำเข้าสู่ความเห็นชอบจากรัฐสภาว่า ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมสนธิสัญญาต้องไปดูข้อกฎหมายทั้งหมด แต่หลักการเป็นเรื่องไม่ยุ่งยากในเชิงการบริหาร คือขณะนี้ ถ้าจะมีการเร่งรัดการเจรจาคงทำไม่ได้ เพราะการเดินหน้า เจรจาต่างๆยังไม่ได้เข้าพิจารณาจากสภา เพราะเดิมรัฐบาล ตั้งใจว่าจะไปดำเนินการกำหนดกรอบเจรจา แต่ขณะนี้ต้องหยุดไปก่อน ถ้าเดินหน้าทำกรอบเจรจาภายใต้บันทึกความเข้าใจ ซึ่งขณะนี้มีปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนเราก็ต้องทบทวน ซึ่งจะนำเข้าสู่การพิจารณา ครม.ในวันอังคารที่ 10 พ.ย. เพื่อดูว่าวิธีการที่จะเดินต่อเป็นอย่างไร แต่ในชั้นนี้เราไม่พร้อมที่จะเดินหน้าเจรจาต่อในเรื่องนี้ อย่างแน่นอน เพราะต้องรักษาผลประโยชน์ของเราไม่ให้เสียเปรียบ
ถ้าเขมรเลิกตั้ง "ทักษิณ" ทุกอย่างจบ
เมื่อถามว่า ขณะนี้มีความเป็นห่วงว่าปัญหาจะบานปลายออกไป นายอภิสิทธิ์ตอบว่าไม่บานปลาย เพราะตนได้อธิบายไปแล้วว่าหลักของเราทำอะไรอย่างไร เรามี หน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศ และเชิญชวนทุกคนว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาแตกแยก ต้องสมัครสมานสามัคคี กัน เรามีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประชาชนคนไทย ปัญหาเกิดขึ้นจากการกระทำเมื่อ 2 สัปดหาห์นี้ เมื่อกลับไปอยู่ที่เดิมมันก็จบ เพราะก่อนหน้านี้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้ด้วยดี เมื่อถามว่ากลับไปอยู่ที่เดิมนายกฯหมายความว่าอย่างไร นายอภิสิทธิ์ตอบว่า "กลับไปอยู่ที่เดิมก็เหมือน กับว่า 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น" เมื่อถามว่า แต่ผ่านเหตุการณ์มาถึงขณะนี้จะกลับไปมีความสัมพันธ์ที่เหมือนเดิมจะเป็นไปได้หรือ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า "คือผมมองว่าที่มันเกิดมา 2 อาทิตย์ คือการไปรับข้อมูลที่ คลาดเคลื่อน ยกตัวอย่างเช่นการไปเข้าใจเรื่องกระบวนการยุติธรรมเราผิด ทำไมไม่มองบ้างว่าศาลไม่ใช่ตัดสินคดีนี้ คดีเดียว ทั้งจากฝ่ายเสื้อสีไหน ใครสนับสนุนใครคัดค้านศาลก็ตัดสินมีทั้งผิดทั้งถูกด้วยกัน อยู่ที่ข้อเท็จจริงของคดี และไม่ใช่เป็นการตัดสินในช่วงที่เป็นรัฐบาลระหว่างการรัฐประหารด้วย แต่เป็นการตัดสินในช่วงที่เป็นรัฐบาล เป็นพรรคการเมืองที่สนับสนุนอดีตนายกฯด้วยซ้ำ ไม่นับว่าอดีตนายกฯเองก็ใช้กระบวนการศาลฟ้องร้องคนอื่นและร่วมเข้าต่อสู้คดีจนกระทั่งแนวโน้มว่าจะแพ้ก็เลยหนีไป" เมื่อถามว่านายกฯจะส่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงไปชี้แจงกับกัมพูชาหรือไม่ นาอภิสิทธิ์กล่าวว่า จริงๆขณะนี้เราได้ส่งสัญญาณไปชัดเจนแล้วอยู่ที่ฝ่ายกัมพูชามากกว่าที่จะแสดงออกว่าจะทบทวนท่าทีหรือไม่อย่างไร
เผย "ทักษิณ"เข้าเขมร 12 พ.ย.
วันเดียวกัน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่านายกรัฐมนตรีฮุน เซน ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่สนามบินนานาชาติกรุงพนมเปญ ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีกำหนดการเดินทางถึงกัมพูชาในวันที่ 12 พ.ย. เพื่อให้คำแนะนำแก่นักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจของกัมพูชาประมาณ 300 คน ที่กระทรวงเศรษฐกิจและการคลังในกรุงพนมเปญ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจของกัมพูชา และนายกฯฮุน เซน ระบุเพิ่มเติมด้วยว่าหากรัฐบาลไทยต้องการสั่งปิดด่านบริเวณชายแดนทั้ง 2 ประเทศ กัมพูชาก็พร้อมจะสั่งปิดด้วยเช่นกัน เพราะหากไทยสั่งปิดชายแดน ธุรกิจการค้าระหว่างไทยกับกัมพูชาก็จะถูกตัดขาดไปด้วย ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายล้วนต้องสูญเสียเช่นเดียวกัน แต่ผู้นำกัมพูชายืนยันว่าสถานการณ์บริเวณปราสาทพระวิหารยังเงียบสงบ และได้ออกคำสั่งถอนกำลังพลร่มหน่วย 911 บางส่วนออกจากดินแดนข้อพิพาทไทย-กัมพูชาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"ทักษิณ" โวย รบ.บ้าเล่นงานปมเขมร
วันเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวผ่านทวิตเตอร์หลายครั้งติดต่อกัน มีใจความว่า "ขออภัยสมาชิกเอสเอ็มเอสของผม อันเดิมถูกรัฐบาลไปข่มขู่ให้ผู้บริการบล็อกข้อความไป เลยขอปรับเทคโนโลยีใหม่ วิธีใหม่ที่ดีกว่าเดิม สัปดาห์หน้าใช้ได้และขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาติดตามในทวิตเตอร์ เพียง 103 วัน มี 40,938 คนที่ติดตาม จะหาเวลาตอบให้มากที่สุด หากไม่ทั่วถึงต้องขออภัย ทั้งนี้ ท่านคงสงสัยว่าทำไมผมไม่พูดอะไรเรื่องกัมพูชา เอาเป็นว่าปล่อยรัฐบาลกับกระทรวงการต่างประเทศให้บ้าให้สุดๆไปเลย แล้วจะพูดให้ฟังในรายการวิทยุวันที่ 10 พ.ย.นี้" อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณจะพูดผ่านรายการทอล์กอราวด์เดอะเวิลด์ ทาง www.thanksinlive.com เวลา 20.30 น. ทุกวันอังคาร
แฉหลักฐาน ปชป.ต้นคิดเอ็มโอยู
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 09.30 น. ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ และที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงกรณีรัฐบาลจะยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) เขตปักปันทางทะเลระหว่างไทยกัมพูชา เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2544 พร้อมนำเอกสารบันทึกความเข้าใจไทยเมื่อปี 2544 มาประกอบการแถลงข่าว โดยนายนพดลกล่าวว่า เอ็มโอยูดังกล่าวริเริ่มมาจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ มีการตกลงสาระสำคัญเบื้องต้นเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2543 สมัยนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็น รมว.ต่างประเทศ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัฒน์ เป็น รมช.ต่างประเทศ ซึ่งขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังไม่ได้เป็นนายกฯ พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อปี 2544 ดังนั้น เอ็มโอยูนี้พรรคประชาธิปัตย์เป็นคนเจรจาดำเนินการมาก่อนแล้ว และรู้รายละเอียดดีกรอบเจรจาทั้งท่าทีหรือความลับดีกว่าใคร ดังนั้น หากจะยกเลิกคิดว่าไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณและที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้เจรจาเป็นความเท็จโดยสิ้นเชิง นายอภิสิทธิ์ได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน จงใจใส่ร้ายบิดเบือน เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีทั้งความลับและความเลวที่จะทำเช่นนั้น มันไม่เกี่ยวตั้งแต่ต้น สรุปคือ ยังไม่มีการทำข้อตกลงอะไรกันเลย เรื่องนี้จึงเป็นการใส่ร้าย บิดเบือน ของพรรคประชาธิปัตย์ พยายามจะเชื่อมโยงให้เห็นคล้ายว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความลับมีเลศนัยเท่านั้น
ท้าใครมีหลักฐานให้เอาไปเลย
นายนพดลกล่าวอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะฟ้องร้องนายอภิสิทธิ์ ที่ออกมากล่าวหาหรือไม่นั้น กำลังให้ทีมกฎหมายพิจารณา เบื้องต้นยังไม่เข้าข่ายผิดข้อกฎหมายอะไร อย่างไรก็ดี ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังอยู่เมืองดูไบ ยังไม่มีกำหนดการเดินทางไปไหน ตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณใช้พาสปอร์ตมอนเตเนโกรในการเดินทาง นายนพดลกล่าวว่า ส่วนกรณีนายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุ พ.ต.ท.ทักษิณได้รับสัมปทานน้ำมันและแก๊สธรรมชาตินั้น อยากบอกว่าสุนัขเห็นใบตองแห้งยังเห่า แต่นักการเมืองที่ดีอย่าไปเห่าเรื่องที่ไม่มีหลักฐาน ขอให้พรรคประชาธิปัตย์เอาความจริงมาพูด หยุดใส่ร้ายคนอื่น ขอย้ำอีกครั้งว่าใครก็ตามที่ค้นพบสัมปทานเหล่านั้น อดีตนายกฯพร้อมยกสัมปทานเหล่านั้นให้ไปเลย
อย่าปลุกกระแสรักชาติทำร้ายกัน
"พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาถือเป็นเจตนาดี ไม่ได้ต้องการไปเปิดเผยข้อมูลลับอันใดหรือถึงมีก็ไม่ทำอยู่แล้ว อดีตนายกฯไม่ได้เกี่ยวข้องกับสัมปทานใดๆทั้งสิ้น คนเป็นนายกฯมา 6 ปี ไม่คิดร้ายต่อประเทศแน่นอน นายอภิสิทธิ์ รู้จักกันดี ขนาดภรรยารับปริญญาโทและเอกที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่นายอภิสิทธิ์ไม่มีชุดครุยใส่ มายืม ผมก็ยังให้ยืมเพราะจบจากออกซ์ฟอร์ดเหมือนกัน เพราะฉะนั้น การจัดการชีวิตท่านไม่ควรไปยืมหรือกู้เท่านั้น นายอภิสิทธิ์ต้องมีจิตใจเป็นธรรมบ้าง อย่ากล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นพวกกัมพูชา แล้วมาปลุกกระแสชาตินิยม เราอาฆาต เราเจ็บ จะเสียลาภ ยศก็ต้องเสีย จากความจริงไม่ใช่ความเท็จ เราเอาข้อเท็จจริงมาพูดไม่ใช่ข้อกล่าวหา ขอให้นายอภิสิทธิ์ โตเสียที วันนี้ไม่ได้เป็นผู้นำฝ่ายค้าน แต่เป็นนายกรัฐมนตรีของประชาชนคนไทย ควรมีจิตใจให้ความเป็นธรรมต่อคนอื่นบ้าง" นายนพดลกล่าว
สับพวกทรยศชาติ "อย่าดึงฟ้าต่ำ"
วันเดียวกัน ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ ทุกอย่างได้ปรากฏข้อเท็จจริงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯและบริวาร ซึ่งอยากจะชี้ 3 ประโยค ที่ต้องห้ามสำหรับคนไทย คือ อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกรณีอย่าดึงฟ้าต่ำ ในวันนี้ที่มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในที่ลับและที่เปิดเผย โดยใช้สื่อทั้งใต้ดินและบนดิน โดยเฉพาะสื่อเว็บไซต์ ที่รัฐบาลพยายามตามสกัดปิดตลอดเวลา รวมถึงการปราศรัยของกลุ่มคนเสื้อแดงบนเวทีชุมนุมที่มีการจาบจ้วงโจมตีสถาบันองคมนตรี ส่วนกรณีประโยคที่ว่า อย่าทำหินแตก วันนี้ได้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชนชัดเจน และขณะนี้ยังมีความแตกแยกเกิดขึ้นระหว่างประเทศ โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นตัวการและกรณีประโยคที่ว่า อย่าแยกแผ่นดิน ได้เสนอรูปแบบการปกครองพิเศษจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย โดยใช้คำว่า เขตปกครองพิเศษ หรือเรียกว่า การปกครองตนเองในรูปแบบพิเศษ ซึ่งความหมายก็คือต้องการให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นรัฐอิสระ แนวคิดดังกล่าวเสนอเข้าทางกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่มีความหวังและอุดมการณ์ แยก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นรัฐอิสระ เมื่อมีการนี้จะทำให้กลุ่มดังกล่าวมีความฮึกเหิมและมีความหวังโดยจะฉวยโอกาสจากการเสนอของ พล.อ.ชวลิต ว่าสามารถแยกเป็นรัฐอิสระได้ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ได้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมจริงๆ
มีคนทำการเมืองไทยถึงทางตัน
"จากนี้ไป ผมคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้การเมืองไทยถึงทางตัน รัฐบาลถึงจุดจบ กลุ่มคนเหล่านี้กำลังทำร้ายประเทศ และประเทศชาติกำลังถูกฆาตกรรม โดยคนที่สวมวิญญาณเป็นฆาตกร ดังนั้นสถานการณ์ต่อจากนี้ไปน่าจับตามองอย่างยิ่งและเชื่อว่าประเทศไทยสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง และพระสยามเทวาธิราชที่ได้คุ้มครองให้ประเทศชาติรอดพ้นจากภัยและทำให้คนไทยทั้งชาติกลับมาสามัคคีกัน ถ้าไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏการณ์เหล่านี้ก็จะไม่ปรากฏให้คนไทยเห็นว่าใครคือคนรักชาติที่แท้จริง" นายเทพไทกล่าว
แจกซีดีเพลงหนักแผ่นดินรับสถานการณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่แถลงข่าว นายเทพไทยังได้นำซีดีมาแสดงประกอบการแถลงข่าว โดยระบุว่า มีผู้หวังดีนำซีดีเพลง "คนหนักแผ่นดิน" ที่เคยใช้ออกอากาศเมื่อปี 2518 ทางสถานีวิทยุ จส. กรมการสื่อสารทหารบกมาให้กับตนและไม่น่าเชื่อว่าเพลงดังกล่าวจะกลับมาใช้ได้กับเหตุการณ์ในยุคปัจจุบัน ซึ่งเนื้อหามีความสอดคล้องมากกว่าในอดีต ที่มีการต่อสู้และขัดแย้งทางอุดมการณ์ของคนในสังคม แต่วันนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องความขัดแย้งทางอุดมการณ์ แต่เป็นความขัดแย้งทางอุดมโกงให้กับคนเพียงคนเดียว โดยตนจะปั๊มซีดีเพลงนี้ไปแจกให้กับสมาชิกพรรคเพื่อไทยให้ฟัง เพื่อกระตุ้นต่อมจิตสำนึกความรักชาติขึ้นมาบ้าง
ชี้ไม่มีใครเชื่อคำพูด "นพดล"
ส่วนกรณีที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณออกมาตอบโต้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กรณีการยกเลิกเอ็มโอยู โดยระบุว่า นายกฯเอาดีใส่ตัวนั้น ขอยืนยันว่า การพูดของนายกฯในรายการเชื่อมั่นประเทศไทย เป็นการอธิบายให้กับประชาชนเข้าใจสถานการณ์ให้ชัดเจน ไม่ได้เอาดีใส่ตัวตามที่ถูกกล่าวหา และในข้อเท็จจริงสัญญานี้ ปรากฏชัดว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนเกี่ยวข้องกับเอ็มโอยู ที่อาจจะทำให้การเจรจาระหว่างประเทศของไทยเสียเปรียบได้ แต่นายนพดลกลับมายืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่ขายความลับให้กับเขมร ตนคิดว่าไม่มีหลักประกันใดที่จะสามารถยืนยันคำพูดของนายนพดลได้ว่า คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่ขายความลับให้กับเขมร ในการเจรจาในเรื่องเอ็มโอยู เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาปรากฏชัดว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่กลับเอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ถ้ารักชาติจริงก็คงจะไม่รับเป็นที่ปรึกษาให้กับรัฐบาลเขมร
ปชป.วอนคนไทยบอยคอตบ่อนเขมร
วันเดียวกัน ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ว่าเหตุผลสำคัญมาจากผลประโยชน์จากบุคคลเพียงคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และขอให้คนไทยบอยคอตการเล่นการพนันที่บ่อนกัมพูชา บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะเป็นที่รู้กันว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นที่ฟอกเงินของนักการเมือง เพื่อนำมาใช้ในทางการเมือง ร่วมทั้งยังมีเครือข่ายไปฟอกเงินต่างประเทศ อาทิ เกาะเคย์แมน กลุ่มบริษัทนอมินี วินด์มาร์ค และเอมเพิลริช ซึ่งอยากให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)เข้ามาช่วยตรวจสอบและขยายเส้นทางการเงินดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวไม่นับรวมเรื่องการค้าขายทางชายแดนยังสนับสนุนให้ดำเนินการไปปกติ และขอให้คนไทยปฏิบัติกับกัมพูชาเช่นเดิม อย่าเหมารวมว่าเป็นการกระทำเดียวกับนายกฯฮุน เซน
"จิ๋ว" ไปมาเลย์สร้างปัญหามากกว่า
นพ.บุรณัชย์กล่าวต่อถึงกรณี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯและประธานพรรคเพื่อไทย ที่จะเดินทางไปเยือนประเทศพม่า สอดคล้องกับการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคและการประชุมย่อยระหว่างอาเซียนและผู้นำสหรัฐอเมริการะหว่างวันที่ 13-15 พ.ย. อดสงสัยไม่ได้ว่า พล.อ.ชวลิตมีความจงใจให้มีเหตุการณ์ตามมาอย่างเช่นกรณีเมื่อครั้งไปเยือนกัมพูชา ก่อนการประชุมอาเซียน ซัมมิทที่หัวหิน จนมีปัญหาตามมาในขณะนี้หรือไม่ อย่างไร และขอเรียนว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นสาเหตุของปัญหา มากกว่าหาทางออกให้ประเทศตามที่ พล.อ.ชวลิตกล่าวอ้าง
ปชป.ย้ำไม่มีเหตุอันควรปรับ ครม.
วันเดียวกัน นายชุมพล กาญจนะ ประธานส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานข่าวนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จี้ให้ปรับ ครม. เมื่อครบ 1 ปีโดยจะไปนั่ง รมช.มหาดไทยแทนนายถาวร เสนเนียม ว่าต้องให้ความเป็นธรรมกับนายเฉลิมชัยด้วย เท่าที่ตนได้นั่งร่วมวงสนทนาพบปะสังสรรค์ระหว่างเพื่อน ส.ส.ทั้งในพรรคประชาธิปัตย์และกับเพื่อนต่างพรรค นายเฉลิมชัยก็ไม่เคยพูดกดดันพรรคหรือนายกฯ และในการหารือของผู้ใหญ่ในพรรค หรือที่ประชุม ส.ส. ของพรรคก็ไม่เคยมีการปรึกษาหารือกันถึงเรื่องการปรับ ครม. เลย เพราะทุกอย่างรวมทั้งเศรษฐกิจก็กำลังดีขึ้น ตอนนี้ยังไม่มีเหตุผลอันสมควรที่ต้องปรับ ครม. ยกเว้นแต่เรื่องเก่าเฉพาะกรณีของนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ที่จะมาเป็นรองนายกฯเท่านั้น เป็นแค่การปล่อยข่าวมากกว่า ที่ผ่านมาในพรรคไม่เคยมีข้อสัญญาผูกมัดว่าจะต้องปรับ ครม. เมื่อครบ 1 ปี ดังนั้นแม้ว่าจะมีข่าวสารออกมาในทำนองใดก็ตามก็ไม่มีความขัดแย้งในพรรคประชาธิปัตย์ที่จะให้ปรับ ครม. โดยเฉพาะไม่มีการปรับ ครม. เพื่อหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะปรับหรือไม่ปรับ ครม. ฝ่ายค้านก็ต้องยื่นซักฟอกไปตามฤดู เพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบรัฐบาลอยู่แล้ว
"สาทิตย์"โต้ปิดกั้นเอสเอ็มเอส" ทักษิณ
ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต นายกฯออกมาระบุว่าถูกรัฐบาลแทรกแซงสกัดเอสเอ็มเอสสื่อสารถึงประชาชน ว่ารัฐบาลไม่ได้ไปปิดกั้นอะไร ไม่ว่าเรื่องออนไลน์ วิทยุหรือเอสเอ็มเอส ไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไร ยกเว้นกรณีการปลุกระดมที่ทำให้เกิดความไม่สงบในช่วงการล้มประชุมอาเซียนที่พัทยา แต่เป็นแค่ข้ออ้างหรือสไตล์การโวยวายแบบหนึ่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีมา ตลอดคนคนนี้ ไม่เคยเห็นความผิดของตัวเองเลย เห็นแต่ ความผิดคนอื่นเป็นนิสัยแบบนี้ตามสำนวนไทยบอกว่า"ผิดคนอื่นแลเห็นเป็นภูเขา ผิดตัวเราแลไม่เห็นเท่าเส้นขน" แต่ตอนนี้มันมาถึงขั้นทำลายประเทศชาติบ้านเมืองแล้ว โดยการไปใช้เขมรเป็นฐานในการโจมตีประเทศไทย จำเป็นที่รัฐบาลต้องตอบโต้ทางการทูตเพื่อให้เข้าใจความ รู้สึกร่วมของคนไทย ทั้งนี้รัฐบาลเองต้องสื่อสารในเชิงรุก โดยพยายามทำความเข้าใจกับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะการที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยที่จะเดินทางไปเยือนมาเลเซียหรือพม่าต่อไปอีก เราต้องพยายามให้ข้อมูลที่ถูกต้องให้มากที่สุด รัฐบาลจะตกเป็นฝ่ายตั้งรับไม่ได้ในเชิงข่าวสาร
ปัดสร้างเหตุกลบทุจริต-แก้ ศก.เหลว
"ในฐานะคนไทยคนหนึ่งเสียใจที่คนในพรรคเพื่อไทย ออกมาปกป้องการกระทำของประเทศกัมพูชา พยายามจะบอกว่ารัฐบาลสร้างเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อไปกลบเรื่องการทุจริต หรือเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน การแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ล้มเหลว ความจริงเป็นคนละเรื่องกัน เกิดเป็น คนไทย ชนชาติไทยรักสงบ แต่ไม่สามารถจะทนได้ถ้าหากเราถูกเหยียดหยามก่อน กรณีที่ไม่น่าจะเกิดจากฝั่งกัมพูชาดำเนินการแต่โดยลำพัง แต่เป็นความพยายามใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวของคุณทักษิณ ที่ต้องการจะกลับ มามีอำนาจ และต้องการทรัพย์สินเงินทองคืนและต้องการล้มรัฐบาลในประเทศไทย ทั้งที่คุณทักษิณใช้ช่องทางอื่น สื่อสารความคิดของตัวเองได้อยู่แล้ว แต่กลับไปใช้วิธีอย่างนี้ และกัมพูชาไปตั้งเป็นที่ปรึกษาฯทั้งที่เป็นนักโทษหนีคดีก็ย่อมกระทบความรู้สึกของคนไทย จึงเป็นหน้าที่รัฐบาลต้องปกป้องศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิ ไม่ใช่สร้างเรื่องไม่ดีมากลบเรื่องของตัวเอง พรรคเพื่อไทยจุดยืนชัดเจนแล้วว่าไม่ได้ยืนอยู่ข้างเดียวกับคนไทยทั้งประเทศ แต่ยืนอยู่ข้างคุณทักษิณโดยไม่เลือกวิธีการ ถึงขั้นทำให้ความสัมพันธ์สองประเทศที่เราพยายามประคับประคองมาตลอด ต้องเลวร้ายลง แล้วยังให้ลูกสมุนมาชี้หน้าด่ารัฐบาลอีก เป็นพฤติกรรมที่คนไทยไม่น่าจะรับได้"
ส.ว.กระตุกรัฐระวังขัด รธน.
วันเดียวกัน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา กล่าวถึงกรณีกระทรวงการต่างประเทศอาจเสนอ ครม. ให้ยกเลิกข้อตกลงว่าด้วยการอ้างสิทธิในพื้นที่ทับซ้อนเมื่อปี 2544 ในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีว่า อยากเสนอแนะให้รัฐบาลนำเรื่องบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาต่างอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนบนอ่าวไทย ฉบับวันที่ 18 มิ.ย. 2544 เข้าที่ประชุมรัฐสภา ในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ เพื่อขอความเห็นชอบ ก่อนที่จะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรียกเลิก ไม่เช่นนั้นการดำเนินการของรัฐบาลเข้าข่ายมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเพื่อให้กระบวนการถูกต้องตามกฎหมาย ควรให้รัฐสภาลงมติ และถือเป็นโอกาสที่ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติจะได้รับรู้สถานการณ์และกำหนด ท่าทีร่วมกัน หากรัฐบาลหวั่นเกรงเรื่องอภิปรายของสมาชิกอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศบานปลาย ก็สามารถขอให้มีการประชุมลับได้ แต่ควรทำเรื่องนี้ให้ถูกต้องตามกระบวนการที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ
พท.ชี้ "อภิสิทธิ์" ผิดมาตรา 190
วันเดียวกัน ที่พรรคเพื่อไทย นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันที่ 9 พ.ย. ซึ่งเป็นการประชุมร่วมรัฐสภา ตนจะนำเรื่องที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรียกตัวเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญกลับประเทศไทย มาหารือในที่ประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อเอาผิดนายอภิสิทธิ์ เนื่องจากเป็นการกระทำผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เพราะการเรียกทูตกลับประเทศในกรณีนี้ เป็นการกระทำที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และส่งสัญญาณให้เกิดความแตกแยกระหว่างไทย-กัมพูชา เข้าข่ายการทำสนธิสัญญาใดๆที่มีผลกระทบต่อประเทศ ซึ่งต้องขอความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาก่อน แต่นายอภิสิทธิ์กลับทำโดยพลการ ไม่ขอความเห็นชอบต่อรัฐสภา เป็นการทำผิดอย่างชัดเจน ส่วนกรณีที่รัฐบาลยกเลิกเอ็มโอยูเรื่องพื้นที่ทับซ้อนไหล่ทวีประหว่างไทย-กัมพูชา ฉบับวันที่ 18 มิ.ย. 2544 เนื่องจากเกรงว่า พ.ต.ท.ทักษิณอาจจะนำข้อมูลความลับทางราชการไปเปิดเผยให้กัมพูชาทราบนั้น ถือเป็นนิสัยของพรรคประชาธิปัตย์ที่ชอบเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้ผู้อื่น เพราะเอ็มโอยูฉบับดังกล่าวมีมาตั้งแต่ปี 2543 สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เมื่อ พ.ต.ท. ทักษิณเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ดำเนินการสานต่อจากสิ่งที่รัฐบาลชวนทำไว้ ซึ่งรัฐบาลชวนย่อมรู้รายละเอียดในเอ็ม โอยูดังกล่าวดี การที่รัฐบาลกัมพูชาแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจแทนที่จะชื่นชม กลับเอามาตี พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้
เล็งชำแหละ รบ.ยกเลิกเอ็มโอยูเขมร
ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ประชุมรัฐสภาในสัปดาห์หน้าจะพิจารณาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ว่า เรื่องนี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะหารือกัน เพื่อเตรียมลุกขึ้นอภิปรายแฉรัฐบาลให้ประชาชนเห็นข้อเท็จจริงอีกด้าน หลังจากรัฐบาลไทยเตรียมทบทวนบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อน ฉบับวันที่ 18 มิ.ย. 2544 (เอ็มโอยู) ที่ทำในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ เชื่อว่าจะมี ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนมากเตรียมข้อมูลที่จะอภิปราย และหากมีโอกาสพรรคเพื่อไทยจะตั้งกระทู้สดถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ หรือนายกษิต ภิรมณ์ รมว.ต่างประเทศ ที่เตรียมยกเลิกเอ็มโอยูด้วย
"ทักษิณ" ขายชาติ พท.ก็ไม่ยอม
นายสุรพงษ์กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยข้องใจที่รัฐบาล เตรียมยกเลิกเอ็มโอยูในช่วงนี้ โดยอ้างว่าทำให้สมัย พ.ต.ท. ทักษิณเป็นนายกฯปี 2544 มีผลประโยชน์ทับซ้อนได้รับสัมปทานน้ำมันและก๊าซในกัมพูชา หากสมมติท่านได้รับสัมปทานจริง ทำไมสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน ถึงไม่หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือทำไมรัฐบาลไม่ยกเลิกเอ็มโอยูตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์ เข้ามาเป็นรัฐบาลเมื่อ 11 เดือนที่ผ่านมา วันนี้หากจะยกเลิก เอ็มโอยู รัฐบาลต้องนำหลักฐานมาแสดงก่อนว่าท่านมีผลประโยชน์ทับซ้อน หากไม่มีหลักฐานแสดงว่ารัฐบาลไทยเล่นการเมืองมาตลอด ทำให้บ้านเมืองฉิบหาย วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชา ถามจริงๆไปให้คำปรึกษาหรือยัง ถ้าหากจะให้คำปรึกษาจริงไม่จำเป็นต้องได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาก็ได้ โทรศัพท์ให้ คำปรึกษาไม่ดีกว่าหรือ เมื่อท่านรับเป็นที่ปรึกษา รัฐบาลไทยก็มองว่า พ.ต.ท.ทักษิณขายชาติ โดยจะบอกความลับในข้อตกลงเอ็มโอยูให้กัมพูชา ท่านก็รักชาติคนหนึ่ง ทำทุกอย่างเพื่อชาติ ไม่มีวันที่จะขายชาติ หากต้องการขายชาติทำไปตั้งนานแล้ว และหากท่านขายชาติจริง ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน
อัดรัฐบาลสร้างกระแสกลบทุจริต
นายสุรพงษ์กล่าวว่า เท่าที่ทราบ พ.ต.ท.ทักษิณรับเป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา เพื่อต้องการไปช่วยดูนโยบายประชานิยม ด้านโอทอป ด้านการท่องเที่ยว ชาวกัมพูชาจะได้หายยากจน เจริญตามเมืองไทย มีเงินมาซื้อสินค้าไทย ทำไมรัฐบาลไม่มองในสิ่งที่ดีอย่างนี้บ้าง สงสารประเทศไทยจริงๆที่มีพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำแบบใจคับแคบ โดยฉวยโอกาสหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาเป็น เกมการเมือง ดิสเครดิต พ.ต.ท.ทักษิณสร้างกระแสให้ ประชาชนที่หูเบาจนเชื่อ และรัฐบาลต้องการกลับปิดบังการทุจริตในโครงการไทยเข้มแข็งที่มีทุกโครงการ รวมถึงยังไปสมรู้ร่วมคิดกับองค์กรที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ หาผลประโยชน์ ทำแบบนี้ทำให้สังคมโลกหัวเราะเยอะ แม้เขาพยายามทำดีกับรัฐบาล แต่ลึกๆเขาดูถูกมากที่เป็นรัฐบาลไม่ได้มาจากประชาธิปไตย ในที่สุดสังคมโลกจะประณามไทยที่ไปรังแกประเทศที่เล็กกว่า และจะกระทบ ต่อสังคมกลุ่มอาเซียน สุดท้ายไม่มีประเทศไหนในโลกคบค้าสมาคมด้วย เพราะเห็นคนไทยมีลิ้น 2 แฉก
เกาะติดทุจริตไทยเข้มแข็ง ศธ.
วันเดียวกัน ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า จากการตรวจสอบพบปัญหาการดำเนินโครงการไทยเข้มแข็งว่า จากการลง พื้นที่ของคณะทำงานพรรคเพื่อไทยพบการดำเนินโครงการไทยเข้มแข้ง 2552 (เอสพี 2) ของกระทรวงศึกษาธิการปีงบประมาณ 2553-2555 งบประมาณกว่า 64,000 ล้านบาท จำนวน 16 โครงการ ซึ่งพบว่าโครงการจัดหาคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายอินเตอร์เนตความเร็วสูงเพื่อการศึกษา ที่มี งบประมาณ 17,000 ล้านบาทนั้น พบความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ โดยในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสิงห์บุรี ได้มีการส่งมอบเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้โรงเรียนบางแห่งแล้ว ทั้งๆที่โครงการนี้มีเพียงการเสนอโครงการ แต่ยังไม่มีการอนุมัติงบประมาณจากส่วนกลางและยังไม่มีการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบ ซึ่งอาจจะมีการล็อกสเปก เพราะคอมพิวเตอร์ถูกส่งให้บางโรงเรียนก่อนกระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้น ที่สำคัญคือโครงการนี้ มีเป้าหมายเพื่อให้นักเรียน 10 คน มีคอมพิวเตอร์ใช้ 1 เครื่อง แต่ศักยภาพของบุคลากรทางการศึกษาต่างๆในชนบทยังไม่มีความรู้ความชำนาญในการเรียนการสอนคอมพิวเตอร์ ซึ่งแม้จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์คุณภาพดีราคาแพง ก็ไม่สามารถพัฒนาศักยภาพเด็กได้เต็มที่
โพลเผยทักษิณทำเพื่อตัวเอง
วันเดียวกัน นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัย "เอแบคเรียลไทม์โพล" เรื่อง เสียงสะท้อนของสาธารณชนต่อบทบาททางการเมืองของบุคคลนัยสำคัญทางการเมืองของประเทศในปัจจุบัน กรณีศึกษาประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัดของประเทศ จำนวน 1,127 ครัวเรือน พบว่า เมื่อสอบถามถึงบทบาททางการเมืองระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 83.1 มองว่าเป็นผลเสียต่อประเทศไทย ในขณะที่ร้อยละ 16.9 มองว่าเป็นผลดีต่อประเทศไทย และร้อยละ 88.1 มองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังทำเพื่อประโยชน์ให้กับตนเอง แต่ร้อยละ 11.9 คิดว่าเป็นการทำประโยชน์ให้กับประเทศ ขณะที่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.6 ระบุไม่เคยได้รับประโยชน์อะไรโดยตรงจาก พ.ต.ท.ทักษิณ แต่มีร้อยละ 17.4 บอกว่าเคยได้รับผลประโยชน์โดยตรงจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ชาวบ้านไม่เห็นด้วยนครปัตตานี
ส่วนแนวคิดของ พล.อ.ชวลิต เกี่ยวกับนครปัตตานี ในการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 80.7 ไม่เห็นด้วย มีเพียงร้อยละ 19.3 เห็นด้วย แต่ที่น่าเป็นห่วงคือส่วนใหญ่หรือร้อยละ 70.7 ระบุว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองของทั้ง พล.อ.ชวลิต และ พ.ต.ท. ทักษิณครั้งล่าสุด ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย แต่ร้อยละ 15.1 ระบุทั้ง 2 คนกำลังทำเพื่อประเทศไทย ร้อยละ 7.5 ระบุ พล.อ.ชวลิตกำลังพยายามทำเพื่อประเทศชาติ และร้อยละ 6.7 มองว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังทำเพื่อประเทศ ชาติเช่นกัน ส่วนที่น่าพิจารณาคือประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 71.3 กังวลว่า การแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาผู้นำกัมพูชา จะกลายเป็นสาเหตุไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงบานปลายระหว่างประเทศ ในขณะที่ร้อยละ 28.7 ไม่คิดเช่นนั้น นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 64.7 เห็นด้วยกับรัฐบาลที่เรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชากลับประเทศ ขณะที่ร้อยละ 35.3 ไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตามประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58.7 หวังว่าทั้ง 2 ประเทศจะหันมาร่วมมือกันด้วยดี ในขณะที่ร้อยละ 41.3 ไม่ได้หวังเช่นนั้น
คะแนนนิยม "อภิสิทธิ์" พุ่งโด่ง
สำหรับแนวโน้มความนิยมของสาธารณชนต่อนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พบว่า อยู่ที่ร้อยละ 60.0 ในขณะที่ความนิยมของ พ.ต.ท.ทักษิณยังคงไม่แตกต่างไปจากการสำรวจครั้งก่อนเท่าใดนัก คือร้อยละ 21.0 ที่เหลือไม่มีความเห็น นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 77.9 ยังคงให้โอกาสรัฐบาลชุดปัจจุบันทำงานต่อไป ในขณะที่ร้อยละ 14.5 ไม่ให้โอกาสแล้ว และร้อยละ 7.6 ไม่มีความเห็น
ชาวบ้านไม่พึงพอใจนครปัตตานี
ขณะที่ "สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 1,652 คน ระหว่างวันที่ 5-7 พ.ย. ที่มีต่อบทบาทต่อแนวคิดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในการจัดตั้งนครปัตตานี ได้ 4.61 คะแนน โดยร้อยละ 44.92 ไม่ค่อยพึงพอใจ ร้อยละ 27.28 ไม่พึงพอใจเลย ส่วนกรณีฮุน เซนแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ได้ 5.51 คะแนน โดยค่อนข้างพึงพอใจร้อยละ 38.53 และพึงพอใจมาก ร้อยละ 18.04 เพราะมีการเรียกทูตไทยกลับ เป็นการส่ง สัญญาณให้รู้ว่าฝ่ายไทยไม่พอใจเรื่องนี้ ที่เหลือร้อยละ 24.41 ไม่พึงพอใจเลย และร้อยละ 19.02 ไม่ค่อยพึงพอใจ เพราะเห็นว่าไม่มีมาตรการตอบโต้ที่เข้มแข็ง และเน้นเรื่อง การเมืองมากเกินไป จนอาจทำให้ประเทศเสียประโยชน์
ชายแดนไทยค้าขายปกติ
เช้าวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวไปสังเกตการณ์ที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พบว่ายังคงปกติ ทหารทั้ง 2 ฝ่าย ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แบ่งปันหาอาหารและพูดคุยกันตามปกติ เช่นเดียวกับที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ พบว่ามีประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ นำสินค้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนกันตามปกติ นายไพทูรณ์ บุญสาลี อายุ 58 ปี พ่อค้าชาวไทยกล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรที่จะนำเรื่องที่อยู่นอกประเทศมาสร้างความหวาดกลัวให้ชาวบ้าน ควรหันมาสร้างหรือพัฒนาอาชีพ การที่รัฐบาลเรียกทูตกลับทำให้เกิดความระแวงกันเกิดขึ้น อยากให้สนใจความสัมพันธ์และปากท้องของประชาชนตามชายแดนมากกว่า ไม่ควรที่จะให้ความสำคัญกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มากนัก ปล่อยให้เขาอยู่ต่างประเทศไปตามเรื่องของเขาจะดีกว่า ประเทศก็พัฒนาให้มีความเจริญไปเรื่อยๆจะดีกว่า ในขณะที่นายซอน กุล พ่อค้าชาวกัมพูชากล่าวว่า ชาวกัมพูชากลัวทหารไทยรบกับทหารกัมพูชา อยากให้ทั้งสองประเทศกลับมาสร้างความสัมพันธ์กันเหมือนเดิมจะได้ค้าขายร่วมกันอย่างมีความสุข
เผยส่งออกเริ่มหยุดชะงัก
พ.ต.ท.เศรษฐ์ ธรรมปาโล สว.หน.ตรวจคนเข้าเมือง จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า ตอนนี้ด่านยังเปิดให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายข้ามไปมาได้ตามปกติ การค้าขายสินค้าในตลาดนัดทั้งวันอาทิตย์และวันพฤหัสบดียังไม่มีผลกระทบ ช่วงนี้ยังมีชาวกัมพูชาเข้าซื้อสินค้าเหมือนเดิม และวันอาทิตย์นี้ดูเหมือนจะมีคนเข้ามามากกว่าปกติด้วย ด้านนายหัถชัย เพ็งแจ่ม ประธานชมรมผู้ประกอบการค้าและการท่องเที่ยวช่องสะงำ เปิดเผยว่า ในช่วงนี้การค้าขายสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน หรือการค้าในตลาดนัดวันอาทิตย์และวันพฤหัสบดี เป็นการค้าขายกันระหว่างประชาชนในระดับพื้นที่ ยังไม่มีผลกระทบ ชาวเขมรยังเข้ามาซื้อหาสินค้ากัน และมีการนำสินค้าจากกัมพูชาเข้ามาขายกันคึกคักเหมือนเดิม แต่การค้าขายและส่งออกสินค้าหลักอย่างน้ำมันเชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้าง เหล็ก และอื่นๆ ตอนนี้ได้รับผลกระทบแล้ว เนื่องจากผู้ประกอบการไม่กล้าส่งสินค้าออก เพราะเกรงว่าถ้าหากสถานการณ์รุนแรงขึ้น จะไม่ได้รับเงินค่าสินค้า กลัวว่าจะเก็บเงินไม่ได้ ส่วนรถบรรทุกที่ข้ามไปส่งสินค้าก็อาจจะกลับออกมาไม่ได้
คนเขมรผวาเกิดสงคราม
ส่วนบริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว นายศานิตย์ นาคสุขศรี ผวจ.สระแก้ว ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งตรวจดูบรรยากาศการค้าและการท่องเที่ยวบริเวณตลาดโรงเกลือ และจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก พบว่ายังคงมีพ่อค้าแม่ค้าชาวเขมรเดินทางเข้ามาค้าขายในตลาดโรงเกลือตามปกติ แต่ไม่คึกคักเท่าที่ควร ในขณะที่คนไทยเดินทางออกไปกัมพูชาน้อยมาก โดยเฉพาะกรุ๊ปทัวร์แทบไม่มีให้เห็น มีเพียงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ยังคงเดินทางออกไปท่องเที่ยวนครวัด-นครธม จ.เสียมราฐ ของกัมพูชาตามปกติ ส่วนบรรยากาศภายในปอยเปต กัมพูชา ตรงข้ามกับ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้วนั้น มีรายงานว่าทางกัมพูชามีคำสั่งเรียกทหาร และ ตชด.กัมพูชา ประจำจุดตรวจตามแนวชายแดนที่ติดกับประเทศไทย กลับเข้าเตรียมความพร้อม ณ ที่ตั้งทางทหารและ ตชด.ในพื้นที่ ทำให้ชาวเขมรตามแนวชายแดนต่างตื่นตระหนกเกรงจะเกิดการสู้รบ ต่างเตรียมความพร้อมอพยพไปอยู่บ้านญาติในพื้นที่ปลอดภัย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น