ต้องยอมรับว่าประเด็นนี้ก่อให้เกิดความคิดเห็นที่หลากหลาย โดยเฉพาะข้อท้วงติงถึงเงื่อนไข และหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่จะกระทบประเทศชาติ และประชาชน ต่อการจัดสรรคลื่นความถี่มูลค่ามหาศาลครั้งนี้
โดยประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ กทช. นายอภิสิทธิ์ถึงกับสอบถาม ทักท้วง และฝากให้ กทช.ทบทวน ประกอบด้วย ประเด็นการจัดตั้งองค์กรกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ซึ่งถือเป็นองค์กรเดียวที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในการจัดสรรคลื่นความถี่ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ
ดังนั้น การดำเนินการเปิดประมูลไลเซนส์ 3 จี นั้น อำนาจของ กทช.ในการออกใบอนุญาตจะมีปัญหาหรือไม่ ทั้งเรื่องขององค์ประกอบ กทช. ที่ขณะนี้ยังไม่มีการคัดเลือกกรรมการเพื่อทดแทนกรรมการที่หมดวาระและลาออก รวมถึงประเด็นการเปิดประมูลต้องดำเนินการตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมการงาน หรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ) ซึ่งประเด็นทั้งหมดนี้ กทช.น่าจะมีการหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา หรือหาก กทช.ไม่ดำเนินการ รัฐบาลจะหารือเอง เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และไม่กลายเป็นปัญหาในอนาคต
นอกจากรัฐบาลต้องการความชัดเจนประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ กทช.แล้ว มติที่ประชุมยังเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ชะลอการลงทุนโครงการพัฒนาระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 หรือ 3 จี ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ออกไปก่อน เนื่องจากเป็นห่วงว่าอาจส่งผลกระทบต่อโครงการลงทุน 3 จี ของทีโอทีอย่างมีนัยยะสำคัญคือ มีผลต่อผลตอบแทนทางการเงินของโครงการ
ข้อท้วงติงที่เกิดขึ้นนี้ นายประเสริฐ อภิปุญญา รองเลขาธิการ กทช. กล่าวยอมรับว่า กทช.จะทำหนังสือสอบถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาภายในสัปดาห์นี้ โดยมติบอร์ด กทช. เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ก็มีความเห็นชอบที่จะดำเนินการดังกล่าว และสอบถามใน 3 ประเด็น อย่างครบถ้วน ทั้งอำนาจ กทช. องค์ประกอบ กทช. และ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ
นอกจากนี้ จะนำข้อเสนอที่ประชุมที่ให้เพิ่มเติมประเด็นรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (ประชาพิจารณ์) ร่างสรุปข้อสนเทศการจัดสรรคลื่นความถี่ 3 จี ซึ่งจะมีขึ้นอีกครั้งในวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ประกอบด้วย การกำหนดเงื่อนไขการถ่ายโอนลูกค้าสำหรับผู้ได้รับใบอนุญาตรายใหม่ การใช้โครงข่าย 2 จี และ 3 จี ร่วมกัน และการกำหนดคุณสมบัติผู้ที่ได้รับสิทธิในการใช้คลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคมอยู่แล้ว ควรจะได้เข้าร่วมการประมูลหรือไม่
ขณะที่นายเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ กรรมการ กทช.กล่าวว่า การสอบถามประเด็นที่ ครม.เศรษฐกิจห่วงใยไปที่คณะกรรมการกฤษฎีกา ไม่น่าจะใช้เวลานาน เพราะเป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีสอบถามมา แต่ กทช.ก็จะดำเนินการควบคู่ไปกับการเปิดประมูลไลเซนส์ 3 จี ด้วย โดยเห็นว่าถ้าการเปิดรับฟังความคิดเห็นอีกครั้งในวันที่ 12 พฤศจิกายน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ร่างหลักเกณฑ์การประมูลก็น่าจะมีความชัดเจนได้ภายในสิ้นปีนี้
หากนับจากวันประกาศร่างหลักเกณฑ์ดังกล่าวลงราชกิจจานุเบกษา ระยะเวลาเข้าสู่การประมูลอย่างน้อย 45-60 วัน ดังนั้น การประมูลก็น่าจะเกิดขึ้นได้ราวเดือนกุมภาพันธ์ 2553
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ กทช.ออกอาการเป็นห่วงถึงการประมูลครั้งนี้คือ การคัดเลือกกรรมการชุดใหม่จำนวน 4 คน แทนกรรมการที่หมดวาระและลาออก รวมถึงขั้นตอนสุดท้ายคือ การคัดเลือกจากวุฒิสภา ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ซึ่งนายเศรษฐพรกล่าวยอมรับว่า กทช.ชุดใหม่จะต้องใช้เวลาศึกษาข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอีกพอสมควร ทำให้ระยะเวลาการเปิดประมูลจำเป็นต้องขยับออกไปอีกประมาณ 1 เดือน เป็นเดือนมีนาคม 2553
"ถ้าคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่า กทช.ชุดปัจจุบันไม่มีอำนาจในการให้ใบอนุญาต 3 จี ครั้งนี้ ก็เป็นไปได้ที่การดำเนินการต้องหยุด และกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่"
แต่สิ่งที่ กทช.กำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้ นายเศรษฐพรเผยว่า เป็นการเตรียมความพร้อมเท่านั้น ไม่ใช่การตัดสินใจขั้นสุดท้าย เพราะ กทช.คำนึงถึงหลากหลายทางความคิดเห็นที่มีต่อการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ยืนยันว่า สิ่งที่ กทช.ดำเนินการจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ และประชาชน
จากการศึกษาของสมาคมจีเอสเอ็มโลก ระบุว่า หากประเทศไทยเปิดให้บริการเทคโนโลยี 3 จี ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปี (2553-2557) ภาคการลงทุนในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมีถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี กระตุ้นการขยายตัวผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) 2.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และก่อให้เกิดการจ้างงานถึง 80,000 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ เทคโนโลยี 3 จี ยังมีผลต่อความสามารถในการลดความเหลื่อมล้ำของสังคมชนบทที่ห่างไกล ให้สามารถเข้าถึงการศึกษา การจ้างงาน ตลอดจนก่อให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศได้
"ใบอนุญาต 3 จี บนคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิร์ตซ์ จำนวน 4 ใบ รวมกับการเปิดให้บริการ 3 จี ของทีโอที จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเฉพาะด้านโครงข่ายทั่วประเทศราว 10,000 ล้านบาทต่อราย ต่อเนื่องอย่างน้อย 3-4 ปี หรือคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนรวม 2-3 แสนล้านบาท โดยยังไม่รวมค่าใบอนุญาต และรายได้จากอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะทำให้อุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยมีเม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท ในช่วงเวลาดังกล่าว"
ส่วนกรณีที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการคลังและกระทรวงไอซีทีร่วมกันพิจารณาหาแนวทางแก้ไขสัญญาสัมปทานระหว่างภาคเอกชนกับทีโอที และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ให้ถูกต้องตามกฎหมายนั้น นายเศรษฐพรเห็นว่า การจัดทำแผนแม่บทไอซีที ฉบับที่ 2 ซึ่งให้หาแนวทางสิ้นสุดสัญญาสัมปทานภายในปี 2553 นั้น เป็นเรื่องที่กระทรวงไอซีทีดำเนินการ ไม่เกี่ยวข้องกับ กทช. แต่อย่างใด
และเห็นว่าในวันนี้ที่มีการพูดถึงเรื่องการสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นตกใจอะไร เพราะผู้ให้บริการมือถือทั้ง 3 รายหลัก ก็ล้วนทยอยใกล้สิ้นสุดอายุสัญญาสัมปทานแล้ว
เพียงแต่ต้องไปหารือกัน เพราะมีหลายรูปแบบกระทำได้ โดยรัฐไม่เสียประโยชน์ เช่น แปลงสินทรัพย์เป็นทุน รัฐวิสาหกิจเข้าถือหุ้นในบริษัทเอกชนภายใต้สัมปทาน ถ้าเอกชนเหล่านั้นไปลงทุนที่ใด เราก็ได้ผลประโยชน์ไปด้วย เป็นต้น

0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น