นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามแนวทางการปฏิรูปการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า ได้มอบนโยบายให้ ร.ฟ.ท.เชิญบุคคลจากภายนอกเข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะทำงานดูแลด้านการพัฒนาทรัพย์สิน เพื่อความโปร่งใส
นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม และกรรมการ ร.ฟ.ท. กล่าวว่า แนวทางการพัฒนาทรัพย์สินของ ร.ฟ.ท.จะต้องแบ่งประเภทที่ดินที่มีศักยภาพในการพัฒนาทั่วประเทศ จำนวน 8,000 ไร่ จากที่ดินที่สามารถพัฒนาเชิงพาณิชย์ได้ 3.6 หมื่นไร่ มาประเมินมูลค่าว่าจะมีรายได้จากการพัฒนาที่ดินเท่าใด โดยจะจ้างที่ปรึกษามาเป็นผู้ประเมิน โดยที่ดินที่มีศักยภาพอยู่ทั้งในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ เช่น หัวหิน เชียงใหม่ ขอนแก่น โดยพื้นที่ที่มีศักยภาพในกรุงเทพฯ เช่น สถานีแม่น้ำ, มักกะสัน, หัวลำโพง และบางซื่อ โดยตั้งเป้ารายได้จากการพัฒนาที่ดินทั้ง 4 แปลง ไม่ต่ำกว่า 2,700 ล้านบาท และจะนำรายได้ดังกล่าวมาแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายบำนาญของพนักงาน ร.ฟ.ท. รวมทั้งช่วยเพิ่มรายได้จากการพัฒนาทรัพย์สินจากเดิมที่มีรายได้ปีละ 1,500 ล้านบาท
"ในการพัฒนาที่ดินนั้น จะเปิดโอกาสให้เอกชนที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาทรัพย์สินยื่นข้อเสนอ และผลตอบแทนรายได้ และเลือกเพียงรายเดียวในการพัฒนาที่ดินแต่ละแปลง ทั้งนี้ ที่ดินที่จะพัฒนาได้ก่อนคือ ที่ดินย่านมักกะสัน เพราะไม่มีปัญหาผู้บุกรุก ส่วนที่ดินแปลงอื่นก็กำชับไม่ให้มีผู้บุกรุก ส่วนที่ดินที่ใกล้จะหมดสัญญา เช่น ตลาดนัดจตุจักร จะต้องพิจารณาปรับเพิ่มรายได้ เนื่องจากเดิมรายได้น้อยมาก ขณะที่ผู้เช่า ร.ฟ.ท.ไปคิดค่าเช่าต่อในราคาแพง" นายสุพจน์กล่าว
นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ รองปลัดกระทรวงคมนาคม และประธานคณะกรรมการ ร.ฟ.ท. ในฐานะประธานคณะทำงานพิจารณาการปรับโครงสร้างพื้นฐานรถไฟ หัวรถจักร ระบบราง อาณัติสัญญาณและจุดตัดต่างๆ กล่าวว่า แผนปฏิรูปรถไฟในส่วนของระบบโครงสร้างพื้นฐานได้ข้อสรุปว่า จะให้การบริหารการเดินรถไฟ รถสินค้า และสินทรัพย์ที่ดินของ ร.ฟ.ท.อยู่ในรูปแบบของหน่วยธุรกิจ (Business Unit) ตามข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.ร.ฟ.ท.) ยกเว้นการบริหารโครงการแอร์พอร์ตลิงก์และรถไฟฟ้า จะต้องจัดตั้งเป็นบริษัทลูก เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการ
"เชื่อว่าแนวทางนี้น่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะฝ่ายบริหารยอมที่จะถอยแล้ว ทาง สร.ร.ฟ.ท.ก็น่าจะที่ยอมถอยและยอมรับได้ ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้" นายถวัลย์รัฐกล่าว
นายถวัลย์รัฐกล่าวว่า แนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของ ร.ฟ.ท.นั้นมีเป้าหมายจะเน้นปรับปรุงคุณภาพโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ให้ได้ตามมาตรฐาน ได้แก่ รางรถไฟจะเปลี่ยนเป็นรางขนาด 100 ปอนด์และเป็นคอนกรีต ระบบอาณัติสัญญาณและจุดตัดรถไฟทั่วประเทศ รวมไปถึงการขยายรางคู่ทั่วประเทศ เป็นแผนดำเนินการในระยะ 15 ปี ระหว่างปี 2553-2568 ซึ่งขยายเวลาจากที่ ร.ฟ.ท.เสนอระยะดำเนินการ 12 ปี เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับงบประมาณ รวมทั้งพิจารณางานในส่วนที่จะให้เอกชนเข้ามาลงทุนก่อน และรัฐชำระเงินคืนภายหลัง เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณ
นายถวัลย์รัฐกล่าวว่า แผนดำเนินการหลักจะปรับปรุงสภาพทางและล้อเลื่อน เป็นแผนเร่งด่วน ดำเนินการภายใน 5 ปี ระหว่างปี 2553-2557 นอกจากนี้จะปรับเปลี่ยนหมอนคอนกรีตทั่วประเทศ เปลี่ยนมาใช้รางขนาด 100 ปอนด์รับน้ำหนัก 20 ตันต่อเพลา จะต้องดำเนินการปรับ รวม 1,382 กม. ปรับปรุงจุดตัดทางรถไฟ มอบหมายให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทรับผิดชอบ เพราะขณะนี้จุดตัดที่มีเครื่องกั้นมีเพียง 629 แห่ง แต่จุดตัดที่ไม่เครื่องกั้นมีถึง 1,573 แห่ง ส่วนการจัดหาประแจและอาณัติสัญญาณไฟสี 230 สถานี ปรับปรุงสะพาน 1,321 แห่ง วงเงิน 63,200 ล้านบาท ส่วนแผนจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า และรถโดยสารรูปแบบชุด รวมทั้งโบกี้บรรทุกสินค้า รวม 26,782 ล้านบาท
นายถวัลย์รัฐกล่าวว่า ส่วนแผนพัฒนา และขยายรางคู่ แบ่งเป็นระยะเร่งด่วน (พ.ศ.2553-2555) 67 กิโลเมตร ระยะที่ 2 (พ.ศ.2556-2558) 549 กิโลเมตร ระยะที่ 3 (พ.ศ.2559-2561) 1,323 กิโลเมตร และระยะที่ 4 (พ.ศ. 2562-2564) 405 กิโลเมตร
ส่วนการพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูง 4 สายหลัก คือบางซื่อ-เชียงใหม่ 745 กิโลเมตร วงเงิน 184,335 ล้านบาท สายบางซื่อ-หนองคาย 615 กิโลเมตร วงเงิน 149,600 ล้านบาท สายมักกะสัน-จันทบุรี 330 กิโลเมตร วงเงิน 103,320 ล้านบาท และสายบางซื่อ-ปาดังเบซาร์ 985 กิโลเมตร วงเงิน 271,600 ล้านบาท จะเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุนตามแนวทาง PPP (Public Private Partnership) รวมไปถึงโครงข่ายกับประเทศเพื่อนบ้านมีการขยายรางคู่ทั่วประเทศ จำนวน 3,039 กิโลเมตร และเส้นทางสายใหม่ 2,651 กิโลเมตร ส่วนแผนการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และระบบรถไฟความเร็วสูงจะต้องเชิญชวนให้เอกชนเข้ามาลงทุนภายใน 15 ปี
ด้านนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) คนใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวนายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธาน สร.ร.ฟ.ท. และพนักงาน ร.ฟ.ท.ที่ถูกไล่ออก 6 คน พยายามล็อบบี้ตัวเอง เพื่อให้ช่วยเจรจากับนายกฯว่า ไม่มีใครล็อบบี้ตน และตนก็ไม่รู้จักนายสาวิทย์และประธาน สร.ร.ฟ.ท.สาขาหาดใหญ่ จ.สงขลา ส่วนที่ระบุว่าตนเข้าร่วมการหารือระหว่างนายกฯกับนายโสภณ และนายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. ที่รัฐสภานั้น ขอชี้แจงว่า แม้ว่าตนจะนั่งอยู่ในห้องรับรองนายกฯ แต่ไม่ได้เข้าร่วมการหารือ
"ที่ผ่านมาปัญหาการหยุดเดินรถไฟที่ อ.หาดใหญ่ นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้เข้าไปเจรจา เพราะ อ.หาดใหญ่ เป็นพื้นที่ในความดูแลของนายถาวร ส่วนผมรับผิดชอบพื้นที่เขต 3 จ.สงขลา จึงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ประธาน สร.ร.ฟ.ท.สาขาหาดใหญ่มาล็อบบี้ผม อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องเห็นใจ ส.ส.เพราะถูกกดดันจากประชาชนที่ต้องไปทำพิธีฮัจญ์ ที่ต้องโดยสารรถไฟ ทำให้นายถาวรต้องไปเจรจาเพื่อให้เปิดการเดินรถ ยืนยันว่าการกระทำของนายถาวรไม่ได้มีเงื่อนไขอื่นหรือก้าวก่ายงานของใคร แต่เป็นการทำหน้าที่ผู้แทนประชาชน ส่วนที่มีภาพความขัดแย้งกับพรรคร่วม คงเป็นเพียงแค่การเข้าใจผิดเท่านั้น" นายศิริโชคกล่าว
วันเดียวกัน ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) จัดเสวนาเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ทุจริตเชิงนโยบาย กับการทำลายขบวนการแรงงาน โดยมีนักวิชาการและอดีตเลขาธิการ สรส.ที่อยู่ในตำแหน่งในช่วงปี 2523-2552 ได้แก่ นายวัฒนะ เอี่ยมบำรุง อดีตประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) นายเอกชัย เอกหาญกมล อดีต สร.กปน. นายมิตร เจริญวัลย์ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อดีตประธาน สร.ร.ฟ.ท. นายเสน่ห์ ตันติเสนาะ อดีตประธาน สร.กปน. นายสมบูรณ์ ทรัพย์สาร อดีตประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจบริษัท กสท โทรคมนาคม นายศิริชัย ไม้งาม ประธาน สร.กฟผ. และนายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธาน สร.ร.ฟ.ท. ที่เป็นเลขาฯ สรส.ปัจจุบัน ร่วมเวที โดยทั้งหมดประกาศสนับสนุนการต่อสู้ของ สร.ร.ฟ.ท.กับผู้บริหาร ร.ฟ.ท.และนักการเมือง ที่พยายามทำลายความเข้มแข็งของขบวนการแรงงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อนำไปสู่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
นายศิริชัยกล่าวว่า คนรถไฟไม่ได้เรียกร้องในเรื่องส่วนตัว แต่เรียกร้องเรื่องการบริการที่มีความปลอดภัยของผู้โดยสาร หากคนอย่าง สาวิทย์ แกนนำขบวนการแรงงาน ที่เป็นทั้งประธาน สร.ร.ฟ.ท.และเลขาธิการ สรส.ถูก กระทำ ย่อมสะท้อนถึงความไม่มั่นคงในการทำหน้าที่ของผู้นำและพนักงานรัฐวิสาหกิจในแต่ละองค์กร ที่ผู้บริหารล้วนมุ่งแปรรูปทั้งสิ้น

0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น